วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

smartwatch 2013


นาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch)

Gadget ล่าสุดที่จะมาสู่ข้อมือคุณเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน ได้แก่ Smart watch* หรือนาฬิกาอัจฉริยะ 1 ใน 10 Breakthrough Technology ของปีนี้ ที่คัดสรรโดยนิตยสาร MIT Technology Review ในสาขาเทคโนโลยีเกี่ยวกับสารสนเทศหรือ IT และเทคโนโลยี Gadget ล่าสุดที่จะมาสู่ข้อมือคุณเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน ได้แก่ smart watch หรือนาฬิกาอัจฉริยะ
Smart watch  สามารถทำงานเหมือนโทรศัพท์สมาร์ทโฟนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เครือข่ายสังคมออนไลน์ เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ นับว่าเป็น คอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ได้ หรือ Wearable Computer ที่จะมาสู่การใช้งานจริงและชีวิตประจำวันของเราในที่สุด ต่อจากการเปิดตัว Google Glass โดยบริษัท Google เมื่อไม่นานมานี้ จึงมั่นใจได้ว่า เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สวมใส่นี้จะมาแรงอย่างแน่นอนในปีนี้ และเชื่อว่ามันจะเป็นเทรนด์ใหม่ล่าสุดที่จะเป็นกระแสใหม่ของเด็กยุค Generation M ทุกวันนี้อย่างแน่นอน
ปัจจุบันนาฬิกาอัจฉริยะหรือ Smart watch มีวางจำหน่ายแล้วหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่หนึ่งในนั้นต้องมี Pebble smart watch ซึ่งรับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักนิยม gadget ตัวยง ความจริงแนวคิดเริ่มต้นของ Pebble เริ่มมาจากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว นักศึกษาด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ Delft University of Technology ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาอยากใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างการขี่จักรยาน แต่ยังไม่มีอุปกรณ์ gadget ใดๆ ที่ทำได้ จึงกลับไปออกแบบต้นแบบในหอพักของตน หลังจากนั้นจึงจัดตั้งเป็นบริษัทของตนและได้รับการสนับสนุนด้านเงินลงทุนผ่านเว็บไซต์ kickstarter ซึ่งตอนนั้นในปีที่แล้วเขาต้องการเงินลงทุนเพียง 100,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3 ล้านบาทเท่านั้นเอง แต่เขาได้รับความสนใจและเงินลงทุนอย่างมากมายท่วมท้นถึง 10 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 300 ล้านบาท นับว่าเป็นเงินลงทุนผ่านทางเว็บไซต์ Kickstarter ที่มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งเว็บไวต์มา

Kickstarter : Pebble Smartwatch
CUSTOMIZE YOUR PERFECT WATCH. IT’S AS EASY AS DOWNLOADING AN APP.
จากการดีไซน์ที่เรียบง่าย โดยใช้หน้าจอแบบขาว-ดำ ที่ใช้เทคโนโลยี E-paper ซึ่งช่วยทำให้สามารถดูข้อมูลบนจอนาฬิกาได้แม้ในแสงแดดจ้า และช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ ไม่ต้องมีการพักหรือปิดหน้าจอเลย และมันสามารถทำงานได้นานกว่าหนึ่งสัปดาห์โดยไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่เลย นอกจากนี้มันเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือทั้ง iPhone และ Android ด้วย Bluetooth ทำให้มันสามารถดาวน์โหลด App เช่น RunKeeper ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลระหว่างการออกกำลังกายผ่านระบบจัดเก็บข้อมูลแบบคลาวด์

แต่อย่างไรก็ตาม Pebble พยายามรักษาฟังก์ชั่นการทำงานของนาฬิกาให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็นเท่านั้น แต่มันก็มีเซ็นเซอร์วัดความเร่ง มีมอเตอร์สั่น และมีระบบติดตามตำแหน่งผ่านดาวเทียม หรือ GPS ทำให้เราสามารถใช้งานเป็นอุปกรณ์ติดตามตัว และช่วยนำทาง นอกจากนี้มันยังทำหน้าที่เป็นโทรศัพท์ smartphone แบบง่าย เช่น แสดงข้อความ SMS แสดงข้อความ notification ผ่าน Facebook หรือแม้แต่ใช้ควบคุมการเล่นเพลงผ่าน iPhone หรือ iPod
และที่สำคัญที่สุดด้วยราคาเพียง 150 เหรียญดอลลาร์ หรือประมาณ 4,500 บาท เท่านั้น มันจึงน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Sony Samsung และแม้แต่ Apple เองก็กำลังขมักเขม้นกับการออก Smart watch เช่นกันเร็วๆ นี้เพื่อเกาะกระแส Wearable Computer ที่กำลังมาแรงอย่างแน่นอนในปีนี้ เตรียมเงินไว้ซื้อมาใส่ได้เลยครับ
วิเคราะห์
จากการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพทำให้ปัจจุบันนี้นาฬิกาที่เมื่อก่อนเราเคยมีกันไว้เพื่อใช้แค่ดูเวลา ดูวันที่ หรือจับเวลา ได้กลายมาเป็นอุปกรณ์ที่รวบรวมเอาฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดาวน์โหลด App, สามารถ chat, check in, post facebook, tweet, check e-mail และคุยโทรศัพท์ได้เหมือนสมาร์ทโฟน นับเป็นสินค้าที่กำลังเข้ามาเจาะตลาดผู้บริโภคในปัจจุบันที่เปิดรับข้อมูลข่าวสารโดยใช้สื่อดิจิตอลเป็นหลัก และนอกจากนี้สำหรับฟังก์ชันการใช้งานที่เหมือนกับสมาทโฟน ขนาดเท่ากับนาฬิการข้อมือปรกติ และยังสามารถช่วยประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone และ Android smartphone ผ่าน Bluetooth สามารถบอกให้เรารู้ว่ามีโทรศัพท์เรียกเข้า อีเมลล์หรือ message ด้วยระบบสั่นเตือน และเราสามารถโต้ตอบกลับผ่านทางนาฬิกา โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ออกมา ให้วุ่นวาย เป็นการออกแบบที่ใช้แนวคิด แบบ minimalist และดูทันสมัย นำแฟชั่น ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคนี้ จึงเป็นที่น่าจับตามองต่อไปว่าจะเป็นที่นิยมของผู้คนในยุคดิจิตอลได้มากน้อยแค่ไหน
จุดแข็ง (Strength):
ด้วยขนาดที่กะทัดรัดเหมือนนาฬิกาข้อมือปรกติจึงทำให้ smart watch สะดวกในการพกพา และที่สำคัญคือการที่สามารถประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้มาก โดยมันสามารถทำงานได้นานกว่าหนึ่งสัปดาห์โดยไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่เลย จึงตอบโจทย์การดำเนินชีวิตของคนในยุคนี้ได้อย่างมาก เนื่องจากต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลาและบางทีการหาที่ชาร์ตแบตเตอรี่อาจจะทำได้ไม่สะดวกนัก ซึ่งปัจจุบันมีการแก้ปัญหาโดยการพก power bank ติดตัวไปไหนมาไหนด้วยคู่กับสมาทโฟน แต่ถ้าหันมาใช้ smart watch เราก็ไม่จำเป็นต้องเพิ่มการพก power bank อีกต่อไปเพราะมันจะช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ และนอกจากนี้ smart watch ทำให้ผู้ใช้สามารถดัดแปลงสร้างสรรค์นาฬิกาได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ทั้งหน้าตา และประโยชน์ใช้สอย ผู้ใช้สามารถปรับเปลี่ยนหน้าปัทม์นาฬิกาได้ตามที่ชอบ โดยการดาวน์โหลดหน้าปัทม์ผ่าน App โดยใช้อินเทอร์เน็ต
จุดอ่อน (Weakness):
การใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ของ smart watch ยังต้องอาศัยการทำงานร่วมกับ smart phone ดังนั้นผู้ใช้งานจึงต้องมีการตรวจสอบดูว่า smart watch ที่เลือกใช้นั้นสามารถใช้ได้กับระบบปฏิบัติการของสมาทโฟนรุ่นที่เราใช้อยู่หรือไม่ จึงอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ว่าผู้ใช้อยากที่จะใช้ smart watch แต่ smart watch ดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้กับสมาทโฟนที่มีอยู่ จึงอาจจะล้มเลิกความคิดที่จะใช้ smart watch ไปเพราะไม่อยากเปลี่ยนสมาทโฟนของตัวเอง
โอกาส (Opportunity):
เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมทางเทคโนโลยีประเภทอุปกรณ์สวมใส่ (Gadget) กำลังขยายตัว และผู้บริโภคเองก็หันมาให้ความนิยมเทคโนโลยีที่มากับ Gadget ต่างๆ อย่างมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ผลิตอย่าง Pebble ที่จะพัฒนาและทำการตลาดสำหรับ smart watch เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคให้หันมาใช้ Pebble smart watch และในช่วงที่ค่ายอื่น เช่น Apple, Samsung, Google และ Sony กำลังจะหันมาจับตลาดด้านนี้ Pebble ควรใช้โอกาสนี้ในการสร้าง brand royalty และทำให้ผู้บริโภคยอมรับในคุณภาพของสินค้าของตนให้ได้มากที่สุด
อุปสรรค (Threat):
เนื่องจาก smart watch เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็วมากในราคาที่ถูกลง ดังนั้นเมื่อบริษัทค่ายยักษ์ใหญ่ต่างๆอย่าง Apple, Samsung, Google และ Sony หันมาจับตลาด gadget จึงเป็นไปได้ว่า Pebble อาจจะถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็วถ้าสินค้าของบริษัทคู่แข่งดังกล่าวพัฒนาออกมาแล้วสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้มากกว่า อีกทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ล้วนมีประสบการณ์ในด้านเทคโนโลยีที่ใช้บนสมาทโฟนมากกว่า

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ ไอที-นวัตกรรม : นวัตกรรม วันที่ 25 พฤษภาคม 2556


 Smartwatch ในปี 2013  เราได้เห็นความพยายามจากหลายค่ายไอทีชั้นนำที่จะผลักดันให้ Smartwatch สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไปแทนที่การใช้สมาร์ทโฟน แต่เนื่องจากแอพพลิเคชั่นจำนวนมากยังไม่รองรับการใช้งานควบคู่กับ Smartwatch และฟีเจอร์โดยทั่วไปยังวนเวียนอยู่เพียงการแจ้งเตือน ฉะนั้นในปี 2014 จึงเป็นโอกาสที่หลายค่ายที่เปิดตัว Smartwatch ไปแล้วอย่าง Samsung,Sony และ Pebble จะได้ต่อยอดอุปกรณ์สวมใส่ ขณะเดียวกันเราก็จะได้เห็น Smartwatch จาก Google และApple เปิดตัวอย่างเป็นทางการเสียที

it


flash memory


หน่วยความจำแบบแฟลช (flash memory)
             หน่วยความจำแบบแฟลช (flash memory) เป็นหน่วยความจำประเภทรอมที่เรียกว่า อีอีพร็อม (Electrically Erasable Programnable Read Only Memory : EEPROM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำข้อดีของรอม และแรม มารวมกัน ทำให้หน่วยความจำชนิดนี้สามารถเก็บข้อมูล ในเหมือนฮาร์ดดิสก์ คือ สามารถเขียนและลบข้อมูลได้ตามต้องการ และเก็บข้อมูลได้ แม้ไม่ได้ต่อเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์  หน่วยความจำชนิดนี้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกพาได้สะดวก มักใช้เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูล ในอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล เช่น  กล้องดิจิทัล  กล้องวีดิทัศน์  ที่เก็บข้อมูล  แบบดิจิทัล 
            เป็นที่ทราบกันดีว่า หน่วยความจำแบบแฟลชที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้น ช่วยให้การทำงานต่าง ๆ ระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีการโอนถ่ายข้อมูลที่ง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น กระแสความนิยมในสื่อบันทึกข้อมูลเหล่านี้จึงเพิ่มมากขึ้นทุกที แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สื่อประเภทนี้แม้จะใช้ โอนถ่ายข้อมูลอยู่เสมอ ๆ แต่กลับด้อยในเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยมากเกินไป
           การดึงข้อมูลจากหน่วยความจำแบบแฟลชนั้น ผู้ดูแลระบบจะไม่สามารถควบคุมการโอนถ่ายข้อมูลระหว่างสื่อ ทั้งสองชนิด ซึ่งได้แก่ ฮาร์ดดิสก์และหน่วยความจำแบบแฟลชได้เลยแม้แต่น้อย  แตกต่างจากอีเมล ซึ่งผู้ดูแล ระบบสามารถควบคุมได้โดยตรง รวมถึงการทำงานบนเน็ตเวิร์กชนิดอื่น ๆ ทำให้ขณะนี้เกิดความวิตกกังวลว่า สื่อเก็บข้อมูลชนิดนี้จะกลายเป็นจุดอ่อนที่สำคัญของระบบเน็ตเวิร์กองค์กรไปในที่สุด
           อุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบแฟลชที่สามารถถอดและเคลื่อนย้ายได้นั้น กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีความนิยมเพิ่มขึ้นสูงมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะมันสามารถเก็บข้อมูลขนาดใหญ่เอาไว้ได้ เราจึงใช้อุปกรณ์ชนิดนี้เปรียบเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์ตัวน้อย ๆ กันเลยทีเดียว การเชื่อมต่อก็ง่ายมาก เพียงเสียบสาย USB ผ่านทางพอร์ต USB ก็สามารถดึงข้อมูลกันได้แล้ว

แป้นพิม




เกษมณี กับ ปัตตะโชติ คืออะไร เป็นชื่อคน ชื่อสิ่งของ หรือฉายา แต่ที่แน่ ชื่อทั้ง 2 นี้อยู่ใกล้ตัวกว่าที่คุณคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของคุณที่กำลังดูเว็บนี้อยู่ ใช่แล้วมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่จอ ซีพียู การ์ดจอ หรือเมาส์ แต่เป็นคีย์บอร์ดนั้นเอง
….. ซึ่ง เกษมณี และ ปัตตะโชติ นั้นก็คือชื่อเรียกของผังแป้นพิมพ์ภาษาไทย ซึ่งจะคล้ายคลึงกับประเภทผังแป้นพิมพ์ภาษาอังกฤษทั้ง 2 ชนิดได้แก่ QWERTY และ Dvorak ซึ่งผังแป้นพิมพ์ทั้ง 2 แบบนั้นจะมีความแตกต่างในด้านการเรียงตัวอักษร ซึ่งจะขอสรุปคร่าวๆ ไว้ดังนี้
QWERTY คือการวางผังแป้นพิมพ์ที่ สามารถใช้นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วนางในการพิมพ์คำได้มากที่สุด ซึ่งจะสามารถสร้างคำได้ทั้งซีกมือข้างใดข้างหนึ่งหรือมือทั้ง 2 ข้างได้ ซึ่งผังแป้นพิมพ์นี้ถูกจดสิทธิบัตรโดย Christopher Sholes ในปี 1874 โดยในสมัยนั้นใช้รองรับแป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีด และผังแป้นพิมพ์นี้ก็ได้ถูกถ่ายทอดมายังแป้นพิมพ์ของคีย์บอร์ดที่ใช้ในปัจจุบันนี้ รวมไปถึง Gaming Gear ประเภทคีย์บอร์ดก็รองรับผังแป้นพิมพ์แบบ QWERTY

หน้าตาผังแบบ QWERTY
Dvorak คือผังแป้นพิมพ์ที่ดัดแปลงการเรียงอักษรจาก QWERTY โดยเรียงลำดับตามความถี่ที่ใช้แทน เช่นตัวอักษร e ที่ใช้บ่อยนั้นจะอยู่ในแถวกลาง ทำให้การเคลื่อนไหวของมือน้อยลงเวลาพิมพ์ ซึ่งผังแป้นพิมพ์นี้ถูกจดสิทธิบัตรโดย August Dvorak ในปี 1936  เพื่อรองรับในเครื่องพิมพ์ดีดเช่นกัน แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับ QWERTY แต่ทว่าปัจจับันก็ยังคงใช้งานกันอยู่ ซึ่งเท่าที่ทราบก็อาจเป็นองค์กรระดับสูงที่ทำงานด้านเอกสารสำคัญหรือบรรดานักเขียนมืออาชีพที่ต้องการความคล่องตัวในการพิมพ์

ผังแป้นพิมพ์แบบ Dvorak 
….. ทีนี้ผังแป้นพิมพ์แบบเกษมณี และ ปัตตะโชติ นั้นก็มีที่มาและการจัดเรียงที่คล้ายกับ QWERTY และ Dvorak ซึ่งมีความเป็นมาที่เหมือนโลกคู่ขนานดังนี้
ผังแป้นพิมพ์แบบเกษมณี เป็นผังแป้นพิมพ์แบบมาตรฐานที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งความเป็นมานั้น คิดค้นโดยสุวรรณประเสริฐ เกษมณี ซึ่งได้ศึกษาการจัดเรียงอักษรและวรรณยุกต์ไทยที่มีอยู่มาก โดยแป้นพิมพ์สมัยก่อนของ เครื่องพิมพ์ดีดไทยสมิทพรีเมียร์แบบแป้นพิมพ์ 7 แถว นั้นจะกินเนื้อที่มากเพราะใส่อักษร 1 ตัวต่อ 1 ปุ่ม ซึ่งนำมาดัดแปลงใส่ลงไปในแป้นพิมพ์แบบมาตรฐานเพื่อลดการใช้ที่ ซึ่งตัวอักษรที่ใช้บ่อยจะอยู่ด้านล่าง ตัวอักษรที่ใช้ไม่บ่อยก็จะต้องอยู่ด้านบน ซึ่งจะพิมพ์ได้นั้นต้องกดแคร่ (Shift) เพื่อปรับเป็นตัวบน และที่สำคัญแป้นพิมพ์ลักษณะนี้ไม่ได้ใส่ตัวอักษร ฃ และ ฅ  แต่ใช้ ข และ ค ในการอ่านเสียงแทนพวกนี้แทน เนื่องจากเครื่องพิมพ์ดีดไทยสมิทพรีเมียร์แบบแป้นพิมพ์ 7 แถว นั้นไม่ได้ใส่อักษรทั้ง 2 ตัวนี้ไปด้วยนี่เอง

ผังแป้นพิมพ์แบบเกษมณี 

เครื่องพิมพ์ดีดไทยสมิทพรีเมียร์แบบแป้นพิมพ์ 7 แถว เครื่องแรกของไทย ต้นแบบของการพัฒนาผังแป้นพิมพ์ทั้ง 2 ประเภท
….. สำหรับแป้นพิมพ์บนคัย์บอร์ดในปัจจุบันนี้ ก็ใช้หลักการเดียวกับแป้นพิมพ์แบบเกษมณี ซึ่งกำหนดขึ้นโดย มอก. 820 (TIS-620) จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งความพิเศษของการพัฒนานี้ก็คือตัวอักษรที่ไม่ได้ใช้อย่าง ฃ/ฅ ก็สามารถบรรจุเข้าไปได้โดยไม่ผลต่อการเปลี่ยนแปลงแป้นคีย์บอร์ดแบบสากล สำหรับมาตรฐานในปัจจุบับคือ มอก. 820 – 2538 

จาก เกษมณีสู่การพัฒนาเป็น มอก. 820 – 2538 
ผังแป้นพิมพ์แบบปัตตะโชติ นั้น ก็ได้เกิดขึ้นมาด้วยการเรียงอักษรใหม่ พัฒนาโดย สฤษดิ์ ปัตตะโชติ เนื่องจากการวิจัยของสฤษดิ์ชี้ให้เห็นว่า แป้นพิมพ์แบบเกษมณีจะมีการใช้งานมือขวามากกว่ามือซ้าย เช่นพิมพ์คำว่า นาย / นาง / นางสาว / ระเบียบ / สงวน /สมยอมเป็นต้น คำพวกนี้กระผมได้ลองพิมพ์ดู ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ซีกขวา ที่สำคัญตัวอักษรที่ใช้ไม่บ่อยบางตัวที่คนไทยต้องกด Shift บ่อยๆ นั้นก็จะปวดนิ้วก้อยขวาเพราะถูกใช้งานหนัก ซึ่งแป้นพิมพ์ชนิดนี้จะเฉลี่ยให้ทั้งสองมือใช้งานเท่า ๆ กัน และให้ลำดับนิ้วที่ใช้บ่อยคือนิ้วชี้ แล้วไล่ลงไปที่นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยที่ใช้งานน้อยที่สุด ซึ่งแป้นพิมพ์ชนิดนี้ ก็ได้ยอมรับจากการวิจัยของสภาวิจัยแห่งชาติพบว่า แป้นพิมพ์ปัตตะโชติสามารถพิมพ์ได้เร็วกว่าแป้นพิมพ์เกษมณีถึง 25.8% และยังช่วยลดอาการปวดนิ้วมือจากการพิมพ์ได้

ผังแป้นพิมพ์แบบปัตตะโชติ
….. แต่ที่ไม่นิยมใช้ในปัจจุบันนั่นเพราะว่า แป้นพิมพ์แบบเกษมณี ได้ใช้งานมายาวนานกว่าแป้นพิมพ์แแบบปัตตะโชติ จึงไม่ใช้เรื่องแปลกใจที่คุณผู้อ่านจะไปลองหาแป้นพิมพ์แบบปัตตะโชติไม่เจอ และที่สำคัญคีย์บอร์ดในปัจจุบันก็ได้ถูกตั้งค่าการพิมพ์แบบเกษมณีอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้อ่านจะมาลองดัดแปลงจากคีย์บอร์ดที่ใช้ (แม้แต่ Gaming Gear ที่ไม่ได้สกรีนภาษาไทยก็ตาม)


คีย์บอร์ดปัจจุบันจะใช้ผังแป้นพิมพ์แบบ QWERTY และ เกษมณี
….. สรุปแป้นพิมพ์ของเกษมณีจะคล้ายๆ กับ QWERTY ส่วนแป้นพิมพ์ปัตตะโชติ ก็คล้ายๆ กับ Dvorak ถึงแม้คนไทยจะไม่ได้เรียกทั้ง 2 คำนี้ (เพราะใช้คำอังกฤษแทน) แต่เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้คอมพ์พิวเตอร์ อย่างเราหรือผู้อ่านก็ตาม
ปอลอ : พระอาจวิทยาคม ผู้ที่ได้นำเข้าเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องแรกเข้ามายังประเทศสยาม (ประเทศไทย) ก็ยังเป็นบุคคลแรกที่เปิดโรงเรียนสอนพิมพ์ดีดภาษาไทยแบบสัมผัสขึ้นในปี พ.ศ. 2470 อีกด้วย

พระอาจวิทยาคม (น้องชาย) และ โรงงานสมิทพรีเมียร์ในนิวยอร์ค